ในบทความนี้เราจะมาค้นหาวิธีการนับไพ่แบล็คแจ็คตามวิธีที่ถูกเปิดเผยในหนังดัง “21 เกมเดิมพันอัจฉริยะ” ที่อิงจากทีม MIT ซึ่งช่วยให้ผู้เล่นสามารถเพิ่มโอกาสในการชนะในเกมแบล็คแจ็คได้ ด้วยเทคนิคการนับไพ่ที่มีความซับซ้อนและเฉพาะตัว ซึ่งเป็นที่มาของความสำเร็จของทีม MIT ในการทำกำไรจากคาสิโน
วิธีนับไพ่, แบล็คแจ็ค, MIT, 21 เกมเดิมพันอัจฉริยะ, เทคนิคการนับไพ่, คาสิโนออนไลน์, การทำเงินจากคาสิโน, การเล่นแบล็คแจ็ค, ทีม MIT, วิธีการเล่นแบล็คแจ็ค
เริ่มต้นรู้จักแบล็คแจ็คและความสำคัญของการนับไพ่
เกมแบล็คแจ็ค (Blackjack) หรือที่บางครั้งเรียกว่า “21” เป็นหนึ่งในเกมไพ่ที่ได้รับความนิยมในคาสิโนทั่วโลก จุดเด่นของเกมนี้คือการที่ผู้เล่นต้องพยายามทำให้มือของตนเองมีแต้มรวมใกล้เคียงกับ 21 มากที่สุด โดยไม่เกิน 21 แต้ม ซึ่งผู้เล่นสามารถใช้ทั้งกลยุทธ์การตัดสินใจและโชคในการเล่นเพื่อให้ชนะเจ้ามือ (Dealer) ได้
หนึ่งในเทคนิคที่ได้รับความสนใจจากทั้งนักพนันและนักวิเคราะห์ คือ “การนับไพ่” (Card Counting) ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถคำนวณความน่าจะเป็นในการได้รับไพ่ที่มีแต้มสูงหรือแต้มต่ำจากสำรับไพ่ที่เหลืออยู่ เทคนิคการนับไพ่ถูกนำมาใช้เพื่อช่วยให้ผู้เล่นรู้ว่าตอนนี้สถานการณ์ในเกมเอื้ออำนวยหรือไม่ในการเพิ่มการเดิมพัน โดยคำนึงถึงการกระจายของไพ่ในสำรับ
เทคนิคการนับไพ่เป็นที่รู้จักกันในวงกว้างมากขึ้นจากหนังฮอลลีวูดเรื่อง “21 เกมเดิมพันอัจฉริยะ” (21) ที่เล่าถึงทีม MIT ที่สร้างกลยุทธ์การนับไพ่ขึ้นมาเพื่อเอาชนะคาสิโน ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของกระแสการนับไพ่ที่ได้รับความนิยม
เทคนิคการนับไพ่แบล็คแจ็คตามวิธี MIT
ในหนัง “21 เกมเดิมพันอัจฉริยะ” ผู้ชมได้เห็นทีม MIT ใช้เทคนิคการนับไพ่เพื่อทำกำไรจากการเล่นแบล็คแจ็คในคาสิโน เทคนิคหลักที่ทีม MIT ใช้คือ การนับไพ่แบบ Hi-Lo (High-Low System) ซึ่งเป็นระบบที่ง่ายต่อการเรียนรู้และสามารถใช้งานได้ในหลายสถานการณ์
ระบบการนับไพ่แบบ Hi-Lo
การนับไพ่แบบ Hi-Lo คือการใช้ค่าตัวเลขในการบ่งชี้ว่าไพ่ใดมีแนวโน้มที่จะส่งผลดีหรือไม่ดีต่อผู้เล่น โดยการกำหนดค่าของไพ่แต่ละใบในสำรับเป็นดังนี้:
ไพ่ 2 ถึง 6 มีค่า 1
ไพ่ 7 ถึง 9 มีค่า 0
ไพ่ 10, J, Q, K, A มีค่า -1
หลักการพื้นฐานของการนับไพ่ Hi-Lo คือการนับผลรวมของค่าที่ได้จากการแจกไพ่แต่ละใบในระหว่างการเล่น ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นรู้ว่าไพ่ในสำรับที่เหลืออยู่มีแนวโน้มที่จะเป็นไพ่สูง (เช่น 10, J, Q, K, A) หรือไพ่ต่ำ (เช่น 2, 3, 4, 5, 6) การที่ไพ่ในสำรับมีแนวโน้มเป็นไพ่สูงนั้นถือเป็นผลดีต่อผู้เล่น เพราะมีโอกาสสูงที่จะได้ไพ่ 10 แต้ม หรือ Ace ซึ่งจะทำให้ผู้เล่นสามารถทำ Blackjack หรือได้แต้มสูงกว่า 21 โดยไม่ต้องเสี่ยงมากเกินไป
การประเมินค่า “Running Count” และ “True Count”
การนับไพ่ไม่ได้จบแค่การนับผลรวมค่าตัวเลขเท่านั้น แต่ผู้เล่นต้องเรียนรู้วิธีการประเมิน “Running Count” และ “True Count” เพื่อให้มีความแม่นยำในการคาดเดาสถานการณ์
Running Count: คือการนับผลรวมของค่าไพ่ที่ผ่านการแจกในระหว่างการเล่น โดยเริ่มต้นที่ 0 แล้วบวกหรือลบตามค่าของไพ่ที่ปรากฏ
True Count: คือค่าที่สะท้อนถึงจำนวนไพ่ที่เหลืออยู่ในสำรับเมื่อเทียบกับจำนวนไพ่ที่ถูกแจกไปแล้ว ซึ่งจะคำนวณโดยการหาร Running Count ด้วยจำนวนสำรับที่เหลืออยู่ในเกม ตัวอย่างเช่น หาก Running Count เท่ากับ 6 และยังเหลือไพ่ในสำรับ 3 สำรับ True Count จะเท่ากับ 2
ยิ่ง True Count สูงเท่าไร โอกาสที่ไพ่สูงจะปรากฏขึ้นก็ยิ่งมากขึ้น ซึ่งทำให้ผู้เล่นสามารถเพิ่มการเดิมพันเมื่อ True Count เป็นบวก โดยคาดหวังว่าจะได้ไพ่สูงและมีโอกาสชนะมากขึ้น
การปรับกลยุทธ์การเดิมพัน
ทีม MIT ใช้การนับไพ่เพื่อปรับกลยุทธ์การเดิมพันในแต่ละรอบ โดยเฉพาะเมื่อ True Count สูงขึ้น ในกรณีนี้พวกเขาจะเพิ่มเงินเดิมพันอย่างมีระเบียบ และในขณะเดียวกันหาก True Count ต่ำหรือเป็นลบ พวกเขาจะลดการเดิมพันลง เพื่อป้องกันการสูญเสีย
การใช้วิธีการนับไพ่ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มโอกาสในการชนะ แต่ยังช่วยให้ผู้เล่นสามารถควบคุมการเงินและจัดการกับการเดิมพันได้ดียิ่งขึ้น ทำให้มีโอกาสทำกำไรในระยะยาว
สรุป
การนับไพ่ในแบล็คแจ็คตามวิธีของ MIT ที่แสดงในหนัง “21 เกมเดิมพันอัจฉริยะ” เป็นวิธีที่ช่วยให้ผู้เล่นสามารถเพิ่มโอกาสในการชนะในเกมแบล็คแจ็คได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าการนับไพ่จะไม่สามารถรับประกันการชนะ 100% แต่เมื่อใช้ร่วมกับกลยุทธ์การเดิมพันที่ดี จะช่วยให้ผู้เล่นมีความได้เปรียบในระยะยาว และสามารถทำกำไรจากคาสิโนได้
อย่างไรก็ตาม การนับไพ่ในบางคาสิโนอาจถือเป็นการโกง และคาสิโนบางแห่งอาจห้ามไม่ให้ผู้เล่นใช้เทคนิคนี้ ดังนั้นการเล่นอย่างมีสติและระมัดระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญในการใช้กลยุทธ์นี้เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะ